...ยินดีต้อนรับท่านสู่...โครงการของสำนักงานปศุสัตว์อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช...(กิจกรรทความรู้รอบตัว)ภายใต้การบริหารจัดการ..ของ...นายมนัส ชุมทอง...ปศุสัตว์อำเภอพรหมคีรี..

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

หวากิว : สุดยอดโคเนื้อญี่ปุ่น วัวหวากิวและโกเบ


พันธุ์โกเบ
สำหรับคนที่ชอบทานเนื้อ น่าจะเคยได้ยินชื่อ "เนื้อโกเบ" หรือ Kobe Beef ที่ส่งตรงมาจากเมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น
เนื้อโกเบเริ่มเป็นที่รู้จักของชาวโลกก็ตอนที่เมืองโกเบเริ่มเปิดท่าเรือพาณิชย์เป็นครั้งแรกในเดือนธันวาคม ปี 1868 และร่ำลือกันว่าเป็นเนื้อชั้นดีที่นุ่มน่ารับประทานมากๆ ถึงขนาดได้ชื่อว่าเป็น Queen of Beef
ฉะนั้น ตอนไปญี่ปุ่น เพื่อนร่วมทริปของฉัน เธอเป็นคนชอบทานเนื้อค่ะ แต่เธอไม่เรียกร้องหาเนื้อโกเบหรอกนะคะ เพราะเมืองไทยมีเยอะ ที่เธอร่ำร้องเรียกหาคือ Matsusaka Beef ที่เป็นเพื่อนกันกับ Kobe Beef แต่เจ๋งกว่า เพราะได้ชื่อว่าเป็น King of Beef เลยเชียว
ความจริง Kobe Beef กับ Matsusaka Beef เป็นเนื้อที่มาจากวัวสายพันธุ์เดียวกันค่ะ เป็นวัวดำ Tajima-ushi ทั้งคู่ เลี้ยงกันมากในจังหวัดเฮียวโก (โกเบและมัตสึสะกะก็อยู่ในจังหวัดนี้ด้วย) เพียงแต่ว่า Kobe Beef มาจากวัวที่เลี้ยงกันในจังหวัด แต่ด้วยความที่จังหวัดนี้มีโกเบเป็นเมืองหลวง เขาเลยเรียกกันเนื้อจากจังหวัดนี้ว่า เนื้อโกเบ
ในขณะที่ Matsusaka Beef เป็นเนื้อที่มาจากเมืองมัตสึซะกะโดยเฉพาะ เลี้ยงกันบริเวณแถบแม่น้ำคุโมสุ กับแม่น้ำมิยากาว่า นอกจากจะเลี้ยงด้วยฟางหญ้า กากเต้าหู้ และข้าวสาลีอย่างดีแล้ว เวลามันเบื่ออาหาร ชาวไร่ที่นั่นเขาเสิร์ฟเบียร์ให้วัวค่ะ (ฉันว่า สงสัยเพราะเขาเลี้ยงกันด้วยเบียร์มากกว่า ที่ทำให้เพื่อนนารีขี้เมาของฉันสนใจอยากจะรับประทานขึ้นมา)
นอกจากเสิร์ฟเบียร์ เขายังมีการนวดให้ด้วย นวดเฟ้นกันเข้าไป ให้เลือดลมสูบฉีด ต่อด้วยการพ่นเหล้าโชชูเป็นละอองสเปรย์อีกต่างหาก แถมต้องพาเดินเล่นตอนบ่ายทุกวันด้วย. ขุนกันดีๆ ตัวหนึ่งหนักเป็นร้อยๆ โลเลยนะ
สนนราคา แค่กิโลละ 6,600 บาทเอง บางครั้งราคาสูงปรี๊ดเหยียบโลละหมื่นกันเลยทีเดียว และคาดว่าจะเป็นเนื้อวัวที่ราคาแพงที่สุดในโลกด้วย

วัวพันธุ์โคราช

หลายต่อหลายท่านอาจจะแปลกหูเมื่อพูดถึง วัวหวากิว Wagyu แต่พอบอกว่า วัวโกเบ ละก็ จะต้องร้องอ๋อทุกคน เพราะได้ยินกิตติศัพท์มานานว่าเป็นวัวที่แพงที่สุดในโลก
แถมเขาว่าวัวโกเบนี้เขาจะเลี้ยงด้วยเบียร์ และเจ้าของจะนวดให้ด้วย ทำให้วัวมีเนื้อนุ่ม และมีไขมันแทรกในเนื้อ (มาร์บลิ่ง) สูง
ฝรั่งจะลือกันไปทั่วว่าเนื้อวัวโกเบนั้น "melt in your mouth" หรือ "ไม่ทันเคี้ยวมันก็ละลายในปากคุณเอง
ความจริงวัวโกเบ" คือ วัวหวากิว ที่เลี้ยงอยู่ในจังหวัดเฮียวโกะ (Hyoko Prefacture)
และเป็นสายพันธุ์หวากิว ที่เรียกว่า ทาจิริ (Tajiri) หรือ ทาจิม่า (Tajima)
ที่ผสมคัดเลือกสืบทอดจากบรรพบุรุษวัวตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า ทาจิริ (Tajiri) โดยสรุป ด้วยเนื้อของวัวหวากิวที่เมืองโกเบ ดังกระฉ่อนโลก
เลยเรียกว่า เนื้อวัวโกเบ ปัจจุบันวัวหวากิวได้มีการเลี้ยงกระจายอยู่ทั่วญี่ปุ่น
แต่โดยการเรียกของ ชาวญี่ปุ่น จะเรียก วัวหวากิว ซึ่ง หวา แปลว่า แห่งญี่ปุ่น กิว แปลว่า วัว
ศัพท์อีกคำที่ใช้เรียก วัวหวากิว ในโลกตะวันตก คือแจแปนนิสแบล๊ค ถ้าจะเรียกอย่างเป็นทางการ ชาวญี่ปุ่นจะเรียกว่า หวากิวขนดำ
เพราะหวากิวยังมีกลุ่มย่อยอีก 3 กลุ่ม ที่ต่างออกไป แต่หวากิวขนดำจะมีประชากรอยู่มากกว่า 90% ของหวากิวทั้งประเทศ
และเฉพาะหวากิวขนดำเท่านั้นที่มีไขมันแทรกสูงสุด หวากิวที่จะนำเสนอในรายละเอียดต่อไป หลายๆ บทจะเน้นเฉพาะหวากิวขนดำ หรือ แจแปนนิสแบล๊คนี้
ในรอบสองทศวรรษที่ผ่านมา ความรู้ความเข้าใจในเรื่องความสัมพันธ์ทางไขมันสัตว์-คอเลสเตอรอล-ไขมันอุดตันในเส้นเลือด-โรคหัวใจ
ก่อให้เกิดกระแสการบริโภค "เนื้อสัตว์ไร้มัน" หรือ lean meat เพื่อสุขภาพ
แต่ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา วงการวิทยาศาสตร์การแพทย์และโภชนาการ ได้ออกมาพูดถึง "ไขมันสุขภาพสูง"
ที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 และอื่นๆ ซึ่งกลับตาลปัตรว่า ดีกับสุขภาพ ลดคอเลสเตอรอล ลดอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ฯลฯ
และไขมันคุณภาพสูงเหล่านี้ คือส่วนที่เป็นไขมันแทรกในกล้ามเนื้อ (ไม่ใช่ไขมันที่พอกหุ้มซากหรือไขมันใต้ผิวหนัง หรือไขมันในช่องท้อง)
ที่เรียกว่า มาร์บลิ่ง นั่นเอง เราทราบกันมาว่า ไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อปลาแซลมอนเป็นมันคุณภาพ มีโอเมก้า 3 มาก ในเนื้อวัวหวากิว
คุณภาพในเรื่องนี้จะยิ่งสุดๆ ไปกว่าละครับ โปรดติดตามด้วยใจระทึก
ความเด่นในเรื่องคุณภาพเนื้อ และความดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคได้สร้างปรากฏการณ์การตลาด ให้เนื้อวัวหวากิวเป็นสุดยอดโคเนื้อหรือโคขุนแห่งยุคไปแล้ว
โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นที่ราคาซากคุณภาพดีจะสูงถึงกว่าหนึ่งล้านเยน หรือประมาณ 4 แสนบาทครับ
วัวหนึ่งตัวอายุประมาณ 3 ปีราคาเท่ากับรถเก๋งหนึ่งคันในบ้านเรา ในออสเตรเลียราคาเนื้อวัวหวากิว
ส่วนที่ทำสเต๊ก เช่น สันใน สันนอก ราคาตกกิโลกรัมละประมาณ 3,000 บาท แต่ในญี่ปุ่นจะตกกิโลกรัมละร่วมหนึ่งหมื่นบาท
ภัตตาคารในอเมริกาและออสเตรเลียเสิร์ฟสเต๊กส่วนสันในราคาชิ้นละประมาณ 3,000-4,000 บาท
ผู้เขียนเคยกินเนื้อสเต๊กวัวหวากิวสไตล์ญี่ปุ่น ในภัตตาคารเมืองไทยสองครั้ง ครั้งแรกในภัตตาคารค่อนข้างไฮคลาสฐานะแขก
ทราบมาว่าราคาจานนั้น 4,800 บาท และอีกครั้งหนึ่งในย่านสยามสแคว์ ได้ขอดูเนื้อก่อนที่พ่อครัวจะปิ้ง
ก็พบว่าคุณภาพของมาร์บลิ่งอยู่ในระดับกลาง ซึ่งสะท้อนว่าเป็นเนื้อหวากิวของลูกผสม พบว่าราคาประมาณ 2,000 บาท
ทั้งสองภัตตาคารนี้เชื่อว่าเสิร์ฟเนื้อที่นำเข้ามาจากออสเตรเลีย ในรายละเอียดว่า ทำไม เนื้อหวากิวจึงมาจากออสเตรเลีย ก็จะเป็นประเด็นที่น่าติดตามต่อไป
และถ้ายิ่งทราบว่าทุกวันนี้ประชากรวัวหวากิวที่อยู่นอกประเทศญี่ปุ่น ที่มากที่สุดอยู่ที่ออสเตรเลีย แถมออสเตรเลียได้ผสมพันธุ์ขยายฝูง
โดยใช้เทคโนโลยีย้ายฝากตัวอ่อนเป็นหลัก ทำการผลิตโคหวากิว รุ่นอายุประมาณหนึ่งปี ส่งลงเรือขายให้ญี่ปุ่นเอาไปขุนในประเทศ
ซึ่งก็จะกลายเป็นเนื้อหวากิวผลิตในญี่ปุ่นโดยปริยาย หรือชาวออสเตรเลียขุนเองในสไตล์การขุน ระยะยาวแบบญี่ปุ่น
แล้วส่งซากเข้าไปขายในญี่ปุ่นเป็นหวากิว เมดอินออสเตรเลีย ที่น่าสนใจในเรื่องของหวากิวที่ผู้เขียนอาสามาถ่ายทอดมีประเด็นสำคัญอยู่ที่
ตัวพันธุกรรม พิเศษของหวากิวในเรื่องของไขมันแทรก ซึ่งโดยปกติวัวเนื้อพันธุ์มาตรฐานที่ถือว่าให้มาร์บลิ่งดีที่สุดในโลก ทั่วโลกยกให้วัวแบล๊คแองกัส
แต่ดีที่สุดของแบล๊คแองกัส ก็ให้ค่ามาร์บลิ่งในระดับต่ำกว่าโดยเฉลี่ยของลูกผสมหวากิวกับวัวนมพันธุ์โฮลสไตน์หนึ่งเกรด
ซึ่ง ณ วันนี้ ปริมาณเนื้อลูกผสมหวากิว กับโคนม หรือลูกผสมหวากิวกับแบล๊คแองกัสได้ถูกผลิตป้อนตลาดญี่ปุ่นและตลาดเนื้อคุณภาพดีทั่วโลก
โดยชาวออสเตรเลีย และอเมริกัน ซึ่งราคาเนื้อโคลูกผสมเหล่านี้จะมีราคาต่ำกว่าราคาเนื้อวัวหวากิวพันธุ์แท้ดั้งเดิม (Fullblood พันธุ์แท้ 100% ที่ไม่มีพันธุกรรมวัวอื่นผสมเลย)
เพียงประมาณ 20-30% เท่านั้นเอง และสามารถสร้างได้ง่ายๆ แค่เอาน้ำเชื้อวัวหวากิวพันธุ์แท้ดั้งเดิม สายพันธุ์ดีๆ มาผสมกับโคนม
แล้ววางระบบการเลี้ยงลูกไปจนถึงโคขุนอย่างปราณีต (เทคนิคต่างๆ จะได้ทยอยเล่าสู่กันฟังต่อๆ ไป)
ก็จะเกิดวงจรธุรกิจ การผลิตเนื้อโคขุนลูกผสมหวากิวในเมืองไทยอย่างไม่ยาก ทุกวันนี้เรานำเข้าเนื้อโคลูกผสมหวากิวจากออสเตรเลีย
ในราคากิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท สำหรับเนื้อส่วนคุณภาพดี ท่านผู้อ่านจะได้พบกับการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตและสายพันธุ์โคขุน
คุณภาพเยี่ยมในอนาคตอันใกล้นี้ในเมืองไทย โดยเจ้าหวากิว จะมาอาละวาดในไม่ช้านี้ โปรดติดตาม

สาเหตุที่พันธุกรรมวัวหวากิว มีอยู่มากในออสเตรเลียตามมาด้วยอเมริกาจะได้เล่าสู่กันต่อไป แต่มีประเด็นที่น่าสนใจว่าทุกวันนี้
ปุ่นมีกฎหมายห้ามนำพันธุกรรมวัวหวากิว ไม่ว่าในรูปแบบใดๆ ออกจากญี่ปุ่น เขากำลังดำเนินการร่างกฎหมายให้ถือว่าพันธุกรรมหวากิว
ทุกรูปแบบเป็นทรัพย์สมบัติอันมีค่าประจำชาติ ก็นับว่าเป็นโชคดี (สำหรับเรา) ที่ยังสามารถซื้อหาพันธุกรรมหวากิวไม่ว่าตัวเป็นๆ ตัวอ่อน
หรือน้ำเชื้อ จากประเทศออสเตรเลียได้ แต่ระวังนะครับ ทุกวันนี้เมื่อพูดถึงหวากิว เราจะจำแนกแบ่งพวกตามพื้นฐานพันธุกรรมเป็น 3 กลุ่ม ที่ต่างกันดังนี้
พันธุ์แท้ดั้งเดิม (Fullblood) คือ หวากิวที่เกิดจากสายพันธุ์ดั้งเดิมที่ถูกนำออกจากประเทศญี่ปุ่น
โดยไม่เคยมีสายพันธุ์โคอื่นใดมาผสมเจือปนเลยในสายบรรพบุรุษของมัน ไม่ว่าในชั่วไหน
เรียกว่าพันธุกรรม หวากิว เต็มขั้น 100% ประชากร Fullblood หวากิว นอกญี่ปุ่นที่มากที่สุด
คือในประเทศออสเตรเลีย พันธุ์แท้ดั้งเดิมหรือ Fullblood นั้น
จะต้องมีการจดทะเบียนพันธุ์ ซึ่งสมาคมพันธุ์หวากิวที่ใหญ่ที่สุดและเข้มแข็งที่สุดอยู่ที่ออสเตรเลีย ในการจดทะเบียนพันธุ์
จะต้องมีการตรวจสอบพันธุกรรมของลูกที่จะจดทะเบียนว่ามีเชื้อพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอ ตรงกับพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ที่ระบุไว้หรือเปล่า
สอง...พันธุ์แท้ (Purebred) คือ หวากิวที่เกิดจากการผสมข้ามระหว่างหวากิวกับโคพันธุ์อื่นๆ
ซึ่งในชั่วแรกจะมีเลือดหวากิว 50% เราเรียกพวกชั่วแรกนี้ว่า ลูกผสม 50% หรือ F1 ใน F2 คือลูกผสม 75%
เมื่อเอาหวากิวพันธุ์แท้ดั้งเดิมผสมต่อไปจนถึงชั่วที่ 7-8 ซึ่งปริมาณเลือดหวากิวกว่า 99% ถึงจะนับว่าเป็นพันธุ์แท้ตามหลักการผสมพันธุ์
แต่ในวงการหวากิว ทั้งที่ญี่ปุ่นและทั่วโลกให้ยึดถือว่าเป็นแค่ Purebred คุณค่าราคาซากก็จะจัดอยู่ในกลุ่มลูกผสม
ไม่เทียบชั้นเป็นพันธุ์แท้ดั้งเดิมหรือ Fullblood ยิ่งคุณค่าทางการผสมพันธุ์ของพวก Purebred
จะไม่เป็นที่เหลียวแลหรือนำไปใช้ในการปรับปรุงสายพันธุ์เลย ฝูง Purebred
จะพบมากที่สุดในประเทศอเมริกาที่เริ่มโครงการผลิตโคลูกผสมหวากิวจากการนำเข้าโคพ่อพันธุ์หวากิวดำ 2 ตัว และหวากิวสีน้ำตาล 2 ตัว ในปี 1976
สาม...ลูกผสม (Crossbred) คือ ลูกผสมหวากิวกับโคอื่นๆ ไม่ว่าโคเนื้อหรือโคนม
โดยจะเรียกว่าเป็นลูกผสมชั่วไหน เช่น เป็น F1, F2 หรือ F3...ซึ่งพบว่าคุณภาพเนื้อโดยเฉพาะมาร์บลิ่งจะสูงขึ้นตามระดับเลือดที่สูงขึ้น
แต่มีความแปรปรวนสูงมาก คือพันธุกรรมไม่นิ่ง เช่น F2 บางตัวคุณภาพซากหรือมาร์บลิ่ง อาจจะลงไปในระดับต่ำแบบ F1 ได้ เป็นต้น
ในการซื้อขายเนื้อหวากิว จึงต้องจำแนกในขั้นต้นว่าเป็นวัวในกลุ่มไหน ในกลุ่ม 3 กลุ่ม
แล้วจึงมีเกรดคุณภาพซากจากลักษณะต่างๆ ในแบบฉบับของญี่ปุ่นซึ่งดูถึง 18 ลักษณะของซาก ถึงจะตีราคาซากในขั้นสุดท้าย
จุดเด่นในพันธุกรรมของหวากิวนี้ เชื่อว่าน่าจะถูกใช้ไปในการผสมข้าม คัดเลือก สร้างสายพันธุ์พันธุ์แท้โคเนื้อรุ่นใหม่ในอนาคตทดแทน
หรือเพิ่มเติมไปจากโคพันธุ์แท้มาตรฐานที่มีเลี้ยงกันอยู่ในโลกนี้ เพื่อยกระดับไขมันแทรก ยิ่งนักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าเป็นไขมันคุณภาพดี หรือ Good Fat อนาคตเจ้าหวากิว จึงสด ปิ๊งปั๊ง ยิ่งบ้านเราเนื้อโคขุนคุณภาพดีขาดแคลน และคุณภาพไม่สม่ำเสมอ ภัตตาคารหลายๆ แห่งปฏิเสธการใช้เนื้อวัวขุนภายในประเทศ เพราะความไม่สม่ำเสมอของคุณภาพซาก หรือระดับมาร์บลิ่ง และความไม่สม่ำเสมอของปริมาณที่มากพอป้อนตลาดอย่างไม่ขาด การผลิตโคลูกผสม หวากิว-โคนม จึงน่าจะเป็นตัวแทรกและนำตลาดเนื้อโคคุณภาพดีในที่สุด ซึ่งการผลิตลูกผสมหวากิวโดยใช้พื้นฐาน ฝูงโคนม จึงเป็นธุรกิจทางเลือกที่สำคัญที่จะมาเสริม หรือรองรับ เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม รายเล็กๆ ที่ทุกวันนี้อยู่ไม่ค่อยได้ หรืออยู่ได้ก็ไม่พอกิน ปรับเปลี่ยนอาชีพเป็นเกษตรกรผู้ผลิตลูกโคหวากิว-วัวนมป้อนเกษตรกรที่ขุนโคเป็นอาชีพ หรือผลิตเองขุนเอง ก็ไม่ผิดกติกาอันใด
ข้อมูลจาก...อาจารย์ ดร.ดำรง ลีนานุรักษ์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ชีวิตของช้าง


ช้าง....เป็นสัตว์ใหญ่ที่มีความสำคัญตลอดมาด้วยกาลเวลานับศตวรรษ นั้น มีเรื่องราวและความเป็นมาที่น่าสนใจมาก เพราะช้างเป็นสัตว์ฉลาดสามารถฝึกสอยให้เข้าใจภาษามนุษย์ และใช้งานหนักแทนเครื่องจักรได้อย่างดีเกี่ยวกับงานด้านป่าไม้ ช้างในสมัยโบราณก็ทำหน้าที่เป็นพาหนะในการเข้าสู่สงครามจนกระทั่งมีชื่อเสียงจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์

ช้างที่สำคัญที่สุดอันเป็นสัญญักษณ์ ซึ่งช่วยให้ชาวต่างประเทศรู้จักประเทศไทยก็คือ ช้างเผือก และเนื่องมาจากช้างเผือก เป็นช้างคู่บารมีของพระมหากษัตริย์นั้นเอง จึงมักเป็นสาเหตุของการสงครามในอตีตกาล

ภายในป่าลึกทึบเต็มไปด้วยแมกไม้ ช้างป่าจะใช้ชีวิตอย่างอิสระ ท่องเที่ยวหากินไปตามความพอใจ จนกว่าจะถูกมนุษย์รบกวน
อาหารของช้าง...อาหารที่โปรดของช้างได้แก่ประเภทที่มีรสฝาด เค็ม เปรียว หวาน เช่น ส้มมะขามเปียกกับเกลือได้ชื่อวว่าเป็นยาธาตุอย้างดี อาจเพิ่มรสชาดโดยเพิ่ม น้ำอ้อย น้ำตาลตโหนด
การผสมพันธุ์ ...

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ไก่เบตง







เบตง...เป็นพื้นที่อำเภอหนึ่งของ จัง หวัดยะลา ซึ่งอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ใครๆก็หวาดในยามนี้

แต่เมื่อได้เข้าไป สัมผัสกับหลายสิ่งหลายอย่างของเบตง แล้วจะ ต้องประทับใจจนลืมภัย และ ภยันตราย ทั้ง ปวง โดยเฉพาะเกี่ยวกับอาหาร อย่างเช่น กบภูเขา หรือ ไก่เบตง ถือว่า เป็นของดีประจำท้องถิ่น เลยทีเดียว

ไก่เบตง....มี หงอนแบบจักร ทั้งเพศผู้และเพศเมีย ขนปีกน้อย ไม่มีขนหาง สีขน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ เหลืองทองเข้ม เหลืองทองอ่อน และ ขาว หรือ ขาวแซมน้ำตาล

ไก่พันธุ์นี้ทนต่อสภาพอากาศร้อน ทนต่อโรคแมลง สามารถเจริญเติบโตได้ดีกว่าไก่พันธุ์พื้นเมืองทั่วๆไป ทั้งตัวผู้ตัวเมียมีอัตราใกล้เคียงกัน เพศผู้ อายุ 14 สัปดาห์ น้ำหนัก 1,800 กรัม ตัวเมีย เมื่ออายุ 18 สัปดาห์ น้ำหนัก 1,700 กรัม ....โดยน้ำหนักเฉลี่ยที่อายุ 15 สัปดาห์ จะอยู่ประมาณ 1,700 กรัม...

....ตัวเมียจะออกไข่ฟองแรกเมื่ออายุได้ 27 สัปดาห์ และจะวางไข่ได้ไม่ต่ำกว่า 100 ฟอง

ไก่เบตง....มีเนื้อมาก เหนียวนุ่มหอม รสชาติดี เนื้อไม่แฉะ จึงเป็นที่นิยม ไม่ว่าจะแปรรูปอาหารชนิดใด อาทิ ไก่สับ ไก่นึ่ง ไก่ต้ม ตุ๋นยาจีน ข้าวมันไก่ ข้าวหน้าไก่ ฯลฯ... อร่อยลืมอิ่มกันทั้งนั้น (แต่ต้องอยู่กับฝีมือคนปรุงด้วย)

ด้วยความอร่อย(ของเนื้อ)เป็นที่ต้องการแก่ผู้บริโภคนี้ ภาควิชาสัตวบาล คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงได้นำไก่พันธุ์เบตงมาทำการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ เพื่อให้สามารถเลี้ยงได้ในสภาพภูมิอากาศโดยทั่วไป

รศ.ดร.วิจารณ์ วิชชุกิจ คณบดีคณะเกษตร มก. บอกถึงเรื่องนี้ว่า...ปัจจุบันได้ทำการวิจัยและพัฒนาไก่เบตงจน กระทั่งรสชาติและคุณภาพเนื้อ เป็นที่ยอมรับว่ามีคุณภาพ ดีกว่า เนื้อมากและนุ่มกว่าเดิม อีกทั้งราคาไม่แพง...จน กระทั่งสายพันธุ์นิ่งสามารถขยายพันธุ์เข้าสู่ภาคปศุสัตว์ในภาคธุรกิจได้ จึงให้ชื่อว่า...ไก่เคยูเบ-ตง ตามนามของสถาบัน

ปัจจุบันพร้อมให้เกษตรกรโดยทั่วไปเลี้ยงเป็นอาชีพได้ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่สำหรับ ผู้บริโภค...

...หากสนใจ สอบถามราย ละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฟาร์มสุวรรณวาจกสิกิจ ภาควิชา สัตวบาล คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน โทร. 0-2579-8525 เวลาราชการ.

ปัญญา เจริญวงศ์
...............
ไก่เบตง
ไก่เบตง Betta splendens Regan ไก่เบตง Betta splendens Regan ?การเลี้ยงไก่เบตง จังหวัดยะลา? ..และการควบคุมโรค.. ประวัติความเป็นมาของไก่พันธุ์เบตง คำว่า “เบตง” เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดยะลา ซึ่งมีพื้นที่อยู่ใต้สุดของจังหวัดยะลา และประเทศไทยมีอาณาเขตพื้นที่ติดต่อกับรัฐเคดา ประเทศสหพันธรัฐมาเลเซีย ลักษณะพื้นที่เป็นที่สูง ราษฏรส่วนใหญ่เป็นคนไทยมีเชื้อสายจีน มีอาชีพในการทำสวนยางพาราและค้าขาย และเป็นแหล่งกำเนิดไก่ที่มีชื่อเสียงมาก เนื้อมีรสชาดอร่อยและตัวใหญ่ ตามประวัติความเป็นมาของไก่พันธุ์เบตงนี้ เป็นไก่ซึ่งมีเชื้อสายมาจากไก่พันธุ์เลียงชาน มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน เมื่อชาวจีนอพยพมาจากประเทศจีนและมาตั้งถิ่นฐานทำมาหากิน ตั้งหลักแหล่งในอำเภอเบตง จังหวัดยะลา จึงได้นำไก่พันธุ์นี้มีมาแพร่หลายในอำเภอเบตง จังหวัดยะลา จนถึงทุกวันนี้ แต่ในปัจจุบันไก่พันธุ์นี้มีปริมาณลดน้อยลง เนื่องจากมีการอพยพบ้านเรือนบ่อย ๆ และราษฏรบางท้องที่ไม่ได้มีการทำวัคซีนป้องกันโรค บางครั้งทำให้เกิดโรคระบาดขึ้นไก่ล้มตายเป็นจำนวนมาก และอีกประการหนึ่ง คือ ราคาที่จำหน่ายในท้องที่หรือตลาดมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ ประมาณ 70 – 80 บาท เนื่องจากหาซื้อยากขึ้นเพราะมีราษฏรเลี้ยงลดน้อยลง ตลาดผู้บริโภคไม่แน่นอน
ลักษณะของไก่พันธุ์เบตง

ตัวผู้ ปาก สี สีเหลืองอ่อน มีลักษณะ จงอยปากงองุ้มแข็งแรง อาจเป็นเพราะต้องหาอาหารกินเอง ตามธรรมชาติ จึงทำให้ปากมีความแข็งแรงเป็นพิเศษ ตา ตานูนแจ่มใส หงอน มีหนึ่งแบบ คือ แบบหงอนจักร์ หัว ลักษณะกว้างไม่แคบ ตุ้มหู ไม่มี คอ คอตั้ง , แข็งแรง ขนคอมีสีเหลืองทองที่หัวแล้วค่อย ๆ จางลง มาถึงลำตัวลักษณะคล้ายสร้อยคอ ปีก สั้น , แข็งแรงพอเหมาะกับลำตัว ขนสีเหลือง อาจมีเส้นสีดำ 1 หรือ 2 เส้น ที่ปลายแถบของขน อก กล้ามเนื้อกว้าง ตามลักษณะไก่พันธุ์เนื้อทั่ว ๆ ไป ขนที่อกและใต้ปีกสีเหลืองบาง หลัง มีระดับขนานกับพื้นดิน (กว้าง , เป็นแผ่น ๆ) หาง มีขนหางไม่ดกมากนัก มีขนสีน้ำตาลปน หางขนมีน้อยและไม่ยาวมาก ปั้นท้าย (ก้นไก่) เป็นรูปตัดเห็นได้ชัด ขาไก่ มีขนาดใหญ่พอเหมาะกับลำตัวเช่นเดียวกับไก่พันธุ์เนื้อทั่ว ๆ ไป ขนสีเหลือง ผิวหนังมีสีแดงเรื่อ ๆ เพราะขนน้อย แต่ถ้าเป็นไก่ตอนจะมีขนดก หน้าแข้งไก่ กลม , ล่ำสัน , เกล็ดวาวแถวแนวเป็นระเบียบสีเหลือง นิ้วไก่ เหยียดตรงและแข็งแรง เล็บเท้า สีขาวอมเหลือง

ตัวเมีย หัว ลักษณะกว้าง ตา แจ่มใส หงอน รูปถั่วสั้น หรือ จักรติดหนังสือ ปาก โคนปากมีสีน้ำตาลเข้มค่อย ๆ จางมาเป็นสีเหลืองที่ปลายปาก จงอยปากงุ้ม แข็งแรง คอ คอตั้งแข็งแรง สีเหลืองอ่อน อก กว้างหนาตามลักษณะไก่พันธุ์เนื้อทั่ว ๆ ไปขนสีเหลืองดกมีขนคลุมทั่วตัว หลัง ขนสีเหลืองดก วางแนวขนานกับพื้น ปีก พอเหมาะกับลำตัว แข็งแรง ขนปีกเต็ม เป็นแบบมีสีดำประปราย หาง หางดก , สีเหลือง ขาไก่ แข็งแรง ขนาดพอเหมาะกับลำตัว ขนสีเหลืองดก หน้าแข้งไก่ กลมสีเหลือง เกล็ดวางแถวแนวเป็นระเบียบ นิ้วไก่ เหยียดตรงและแข็งแรง เล็บไก่ สีขาวอมเหลือง ความต้านทานโรค มีความต้านทานโรคสูงพอสมควร

การเลี้ยงไก่เบตง ไก่พันธุ์เบตง เป็นไก่ที่ชอบหากินอิสระในสนามหญ้าบริเวณบ้านตามป่าโปร่ง ๆ คงเป็นเพราะ ไก่พันธุ์นี้มีลักษณะไก่ป่าอยู่มาก ราษฏรในอำเภอเบตงเลี้ยงไก่พันธุ์นี้ตามบริเวณลานบ้านในสวนยางพารา ไก่พันธุ์นี้เลี้ยงเชื่องมากชอบหากินเป็นฝูง ตัวผู้รักลูกมาก บางครั้งจะพบว่าตัวผู้จะฟักลูกแทนตัวเมีย
ที่มา:กลุ่มงานข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานจังหวัดยะลา

ครบเครื่องเรื่องคนรักหมา

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสุนัข
ปัจจุบัน ต้องยอมรับว่าสุนัข หรือแมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีกันเกือบทุกบ้าน ด้วยสภาพของสังคม และความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นเวลาการทำงานที่มีมากนัก กับสังคมที่มีการแข่งกันกันอย่างมากและตลอดเวลา ความเครียดที่เกิดขึ้นจากการทำงาน สัตว์เลี้ยงอาจจะเป็นคำตอบที่ดีสำหรับสังคมในปัจจุบัน ดังนั้นด้วยความเป็นคนเลี้ยงจึงย่อมเป็นเจ้าของ เจ้าตูบไปโดยปริยาย ความรับผิดของเจ้าของที่มีต่อเจ้าตูบจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญ ทั้งเรื่องสุขภาพ คุณภาพชีวิต การฝึก พฤติกรรม และปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่เจ้าของและสัตว์อื่นๆ ด้วย ความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นเจ้าของเจ้าตูบอาจจะกินระยะเวลานาน บางครั้งต้อง การความอดทนเหมือนกัน โดยเฉพาะในยามที่เจ็บป่วย หรือพิการ รวมทั้งอาจจะหมายถึงความรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับเรื่องของ เจ้าตูบเหมือนกัน คณะจัดทำเวปไซด์ ช้อปสะบัดดอท หวังอย่างยิ่งว่า จะมีประโยชน์ต่อผู้เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงน่ารัก ที่มาคัดลอกข้อความบางส่วนมาอ้างอิง มาจากเวบไซต์ http://www.vet.ku.ac.th ด้วยผู้มีความรู้โดยตรง
1. สัตว์เลี้ยงกับฟัน สำคัญไฉน?
2. โรคลำไส้อักเสบติดต่อ ยอดฮิตในสุนัข
3. การดูแลหูและโรคของหู อักเสบของสุนัข
สัตว์เลี้ยงกับฟัน สำคัญไฉน?
คุณเคยสังเกตุช่องปากและฟันสัตว์เลี้ยงของคุณบ้างไหม บ่อยครั้งหรือไม่ที่เจ้าตัวดีของคุณมีกลิ่นปากและคุณคงเคยคิดหาวิธีที่จะช่วยเหลือเจ้าตูบด้วยใช่ไหมล่ะ หากคำตอบของคุณมีคำว่าใช่เป็นส่วนใหญ่ นั่นหมายถึงว่าคุณเห็นความสำคัญ เกี่ยวกับสุขภาพฟันและเหงือกของสัตว์เลี้ยงของคุณ เพราะจริง ๆ แล้ว ในชีวิตประจำวันของเจ้าตูบหรือเจ้าเหมียวน้อยจำเป็นต้องใช้ฟันในการขบเคี้ยวอาหารต่าง ๆซึ่งพวกเขาจำเป็นต้องมีฟันที่แข็งแรงและเหงือกที่สมบูรณ์ หากแต่ปัญหาทางช่องปากก็อาจ เกิดขึ้นได้ เช่น การมีกลิ่นปาก มีหินปูนเยอะ มีเลือดออกตามไรฟัน ฯลฯ หนทางป้องกันและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ก็คือ อาจเริ่มต้นจากที่ตอนพวกเขายังเล็ก ๆ เจ้าของควรพามาตรวจสุขภาพฟันและเหงือกตั้งแต่แรกเกิดหรือทุก ๆ 6 เดือน หมั่นแปรงฟันให้เขาบ้าง ให้เขาดื่มน้ำสะอาดทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร เมื่ออายุพอประมาณ 2-3 เดือนก็ควรหากระดูกเล็ก ๆ ให้เขาได้หัดใช้เขี้ยวและฟัน แต่ถ้าเจ้าตูบมีอาการขึ้นมาก่อนแล้วล่ะ เจ้าของก็ควรพาเจ้าสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาและเข้ารับการรักษากับโรงพยาบาลสัตว์ที่ให้บริการทางด้านทันตกรรม เช่นการขูดหินปูน ถอนฟัน อุดฟัน และเคลือบฟัน ตัดเขี้ยวหรือการแก้ไขปัญหาการ ไม่สบกันของฟัน เป็นต้น เท่านี้ฟันของเจ้าตัวดีทั้งหลายก็จะไม่สร้างปัญหาให้กับเจ้าของสัตว์และก็ตัวของเขาได้อีกต่อไป SZ : ด้วยความรู้โดยตรงจากผู้เลี้ยง การใช้กระดูกหนังที่มีตามร้านขายอาหารสุนัข ทั่วไป จะช่วยลดอาการกลิ่นปากของสุนัขที่เลี้ยง ได้เป็นอย่างดี ถ้าเกิดปัญหาสำหรับการที่เจ้าตูบไม่ชอบ ให้เวลาเจ้าตูบ คันฟันแล้วกัดของไม่เลือก ทำให้ข้าวของเสียหาย ช่วงแรกต้องพยายามเก็บของที่สำคัญไม่อยากให้เจ้าตูบกัดล่ะก็ ไว้ที่สูงๆ เข้าไว้ และพยายามโยนกระดูกชิ้นหนังนั้น ให้เจ้าตูบที่คันฟันแทนบ่อยๆ มันก็จะแทะกระดูกนั้นเอง ฝึกความเคยชิ้นให้เค้ารู้สึกว่า อย่างอื่นเค้ากัดไม่ได้ เค้าก็จะแทะสิ่งของที่เราให้เค้าไปเอง
โรคลำไส้อักเสบติดต่อ ยอดฮิตในสุนัข
เป็นไวรัสที่สามารถติดต่อที่รุนแรงที่ทำลายระบบทางเดินอาหาร เม็ดเลือดขาว และในสุนัขบางตัวจะมีผลต่อกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งมีการระบาดทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย การติดเชื้อของโรคลำไส้อักเสบ สามารถแพร่กระจายจากสุนัขตัวหนึ่งไปอีกตัวหนึ่ง การติดต่อมีโอกาสมากขึ้นเมื่อสุนัขไปอยู่รวมกันมาก หรือแหล่งรวมสุนัขก็จะเป็นแหล่งที่ทำให้สุนัขปกติไปรับเชื้อมาจากการสัมผัสได้ สุนัขที่เลี้ยงไว้ในบ้าน หรือไว้ในคอก ในสวนมีโอกาสที่จะสัมผัส หรือเล่นกับสุนัขตัวอื่นได้ยาก จะมีโอกาสที่จะสัมผัสติดเชื้อไวรัสได้ยาก โรคลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อจะเกิดขึ้นเฉพาะแต่สุนัข หรือสัตว์ในตระกูลสุนัขเท่านั้น จะไม่ก่อให้เกิดโรคลำไส้ใน สัตว์ชนิดอื่นๆ หรือคน แต่สัตว์ชนิดอื่นๆ หรือคนสามารถที่จะเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสมาติดกับสุนัขของตนเองได้ สุนัขสามารถติดเชื้อได้จากอุจจาระของสุนัขที่ป่วยเป็นโรค หรือของเหลวที่สุนัขป่วยอาเจียนออกมา ในอุจจาระของสัตว์ป่วยจะพบมีเชื้ออยู่จำนวนมาก ซึ่งเป็นไวรัสที่มีความทนทานต่อสิ่งแวดล้อมมาก ไวรัสสามารถแพร่กระจายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้ด้วย การติดไปกับขน ผม หรือเท้าของสุนัขที่ป่วย หรือติดเชื้อ อาจจะปนเปื้อนไปกับกรง รองเท้า หรือสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ
เราจะทราบได้อย่างไรว่าเจ้าตูบเป็นโรคลำไส้อักเสบ
อาการเริ่มแรกของสุนัขที่ติดเชื้อคือ ซึม เบื่ออาหาร อาเจียนและท้องเสีย อย่างรุนแรง อุณหภูมิของร่างกายอาจจะสูงขึ้น อุณหภูมิของร่างกายที่วัดจากทวารหนักของสุนัข มีค่าประมาณ 101º - 102ºF อาการป่วยดังกล่าวมักจะปรากฎขึ้นภายหลังจากที่สุนัขได้รับเชื้อ ไวรัสได้ประมาณ 5-7 วัน ในระยะแรกของการติดเชื้อ(แสดงอาการแล้ว) อุจจาระของสุนัขจะมีลักษณะเหลวมีสีออกเทา หรือเหลืองเทา ในบางครั้งอาการแรกเริ่มสุนัขอาจจะถ่ายเหลวโดยมีเลือดปนออกมาได้ เมื่อสุนัขมีการถ่ายเหลว หรืออาเจียนอย่างรุนแรง ทำให้สุนัขสูญเสียน้ำและเกลือแร่ออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว สุนัขป่วยบางตัวจะมีอาการอาเจียนอย่างรุนแรงและถ่ายอุจจาระเป็นน้ำสีน้ำตาลจนถึงสีแดง(มีเลือดปน)พุ่งจนตายได้ ในสุนัขบางตัวอุจจาระอาจจะมีลักษณะเหลวเท่านั้นและสามารถฟื้นตัวจากการป่วยได้ อาการป่วยมักพบว่า ลูกสุนัขจะแสดงอาการป่วยรุนแรงกว่าสุนัขโต สุนัขมักจะตายภายใน 48-72 ชั่วโมงหลังจากที่เริ่มแสดงอาการ ลูกสุนัขมักจะตายด้วยภาวะช๊อค โดยมักจะเกิดขึ้นหลังการติดเชื้อประมาณ 1-2 วัน ในอดีตพบว่าลูกสุนัขอายุน้อยกว่า 5 เดือนมีอัตราการป่วยค่อนข้างสูงและประมาณ 2-3 เปอร์เซ็นต์จะตายจากการติดเชื้อนี้ ปัจจุบันเนื่องจากมีการฉีดวัคซีนกันอย่างแพร่หลาย อัตราการป่วยและอัตราการตายจากการติดเชื้อจึงลดลง เว้นแต่เจ้าของ สุนัขไม่ค่อยสนใจฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้กับสุนัขเป็นประจำ โอกาสป่วยเป็นโรคจึงมีมากขึ้น ลูกสุนัขช่วงระหว่างหย่านม (1 เดือน)ถึงอายุ 6 เดือนเป็นช่วงอายุที่มีความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรค ควรให้ความอบอุ่นกับร่างกายของสุนัขป่วยและให้การดูแลอย่างใกล้ชิด.
การป้องกันโรคลำไส้อักเสบติดต่อในสุนัข
การป้องกันโรคลำไส้อักเสบสามารถทำได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกัน คือ วัคซีนรวม ประจำทุกปี ซึ่งควรสอบถามสัตวแพทย์ถึงโปรแกรมการฉีดในลำดับต่อไปด้วย กรณีที่สุนัขที่เลี้ยงเกิดป่วยติดเชื้อ ต้องทำความสะอาดบริเวณกรง หรือคอก หรือที่อยู่ของสุนัขป่วย เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส ด้วยยาฆ่าเชื้อ จำพวกยาทำความห้องน้ำ ครัว อย่าลืมว่าเชื้อไวรัสนี้ สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในสิ่งแวดล้อมได้เวลานานเป็นเดือนๆ เจ้าของสุนัขควรป้องกันไม่ให้สุนัขไปสัมผัสกับสิ่งขับถ่ายของสุนัขอื่นๆ เมื่อนำมันออกไปนอกบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุนัขที่มีอายุไม่เกิน 6 เดือนควรระมัดระวังอย่างยิ่ง สิ่งปฏิกูล หรือสิ่งขับถ่ายของสุนัขควรกำจัดทิ้งให้เร็วที่สุดไม่ควรกัก หมักหมมไว้ ถ้าเป็นไปได้ควรตรวจสอบดูสิ่งขับถ่ายของสุนัขข้างบ้านด้วย และควรแนะนำให้ปฏิบัติตาม สุนัขจะได้ปลอดภัยไม่นำเชื้อมาให้กันและกัน ถ้าไม่แน่ใจว่าสุนัขของเรากำลังจะป่วยด้วยการติดเชื้อ โรคลำไส้อักเสบหรือไม่ ควร ปรึกษาสัตวแพทย์ การลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
คำแนะนำสำหรับการเลี้ยงดูให้เจ้าตูบ มีสุขภาพดี
สัตว์เลี้ยงที่มีสุขภาพดีจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่เป็นเพื่อนที่มีความสุข เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสัตว์เลี้ยงของท่านมีชีวิตที่ดี เจ้าของสัตว์จะต้องให้ความใส่ใจในการดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างใกล้ชิดและควรทำเป็นประจำ เพื่อลดโอกาสการป่วยชองสัตว์ ดังนั้นเจ้าของสุนัขควรปรึกษา หรือนำสัตว์ไปพบสัตวแพทย์ เมื่อพบว่า สุนัขมีอาการต่างๆ เหล่านี้
.พบมีสิ่งคัดหลั่งที่ผิดปกติออกจากจมูก ตา หรือช่องเปิดอื่นๆของร่างกาย
.สัตว์เลี้ยงไม่กินอาหาร มีน้ำหนักลดลง หรือกินน้ำมากขึ้นกว่าปกติ
.ขับถ่ายลำบาก หรือผิดปกติ หรือไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้
.พบมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ หรือพบมีความดุร้ายขึ้นอย่างกระทันหัน หรืออ่อนเพลีย
.พบมีก้อนผิดปกติ เดินกระโผลกกระเผลก ลุกหรือนอนลำบาก
.มีการสั่นหัวมากผิดปกติ เกา หรือเลีย หรือกัดแทะตามลำตัวมากผิดปกติ
ลูกสุนัขที่ติดเชื้อลำไส้อักเสบดังกล่าว ที่ทำให้มีการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจมักจะมีอาการซึมและไม่ยอมดูดนมและตายอย่างรวดเร็ว ลูกสุนัขบางตัวอาจตายในอีกหลายวันต่อมา การติดเชื้อในลักษณะนี้ ยังไม่มีวิธีการรักษาที่จำเพาะ ลูกสุนัขที่รอดชีวิตจะพบมีความเสียหายของหัวใจบางส่วน(ถาวร) ลูกสุนัขบางตัวอาจจะ ตายด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวในอีกหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนต่อมา หลังจากที่หายป่วยแล้ว SZ : แนะนำให้ปรึกษาสัตวแพทย์ ดีกว่าค่ะ
การดูแลหูและโรคของหู อักเสบของสุนัข
เจ้าของสุนัขมักจะนำสุนัขของตนเองมาพบสัตวแพทย์และมักจะมาบ่นให้ฟังอยู่เสมอว่า "หูสุนัขของตนเองมีกลิ่นที่เหม็นน่ารังเกียจมากเลย มันเป็นอะไรหรือค๊ะ/ครับ?" หรือ"แมวของชั้นชอบเกาหูมากเลย มีขี้หูดำมาก ชั้นจะทำอย่างไรดี" หรือ "สุนัขของผมชอบเอาหูไปถูไปกับพรม แต่ผมไม่พบว่ามีความผิดปกติใดๆ เลย ทำไมเจ้าตูบของผมจึงเป็นอย่างนั้น" เหล่านี้เป็นคำถามที่สัตวแพทย์ได้ยินได้ฟังอยู่เสมอ อาการของโรคหู สุนัข หรือแมวที่มีอาการของโรคในช่องหูเราอาจจะพบว่าอาการเหล่านี้ได้
· มีกลิ่น ·
มีการเกาหู หรือเอาหู (หัว) ไปถูกับวัตถุ
· มีสิ่งคัดหลั่งออกมาจากช่องหู
· ช่องหู หรือใบหูมีสีแดง หรือบวม
· มีการสั่นหัว หรือเอียงหัวไปด้านใดด้านหนึ่ง
· มีอาการเจ็บรอบๆหู
· มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น ซึม หรือหงุดหงิด
โรคของช่องหูเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมากที่สุดในสัตว์เลี้ยง (ทั้งสุนัขและแมว) ส่วนใหญ่เป็นการอักเสบของช่องหูภายนอกที่เรียกว่า "otitis externa" ปัญหาช่องหูอักเสบพบได้ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนสุนัขทั้งหมด จากการศึกษาสถิติการพบปัญหาช่องหูอักเสบในแมวพบได้ประมาณ 2 - 6.6 เปอร์เซ็นต์
สาเหตุของการเกิดช่องหูอักเสบ
ปัญหาโรคช่องหูสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เมื่อเราพบว่าสัตว์เลี้ยงของเรามีปัญหาโรคของช่องหู สิ่งที่ต้องคิดถึงและเป็นสาเหตุโน้มนำที่เป็นไปได้ที่ทำให้เกิดปัญหาโรคของช่องหูภายนอกได้แก่ การแพ้ เช่น
· พยาธิภายนอก เช่น ไรในหู
· จุลินทรีย เช่น แบคทีเรีย และยีสต์
· สิ่งแปลกปลอม เช่น เกสรดอกไม้ หรือหนามของพืช
· การได้รับบาดเจ็บ
· มีความผิดปกติของฮอร์โมน
· สิ่งแวดล้อมภายในช่องหูที่ผิดปกติ เช่น มีความชื้นมากเกินไป และความผิดปกติทางกายวิภาคของช่องหู
· มีความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือทางภูมิคุ้มกัน และการเกิดเนื้องอก
การรักษา
การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของปัญหาและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น โดยปกติการรักษาสภาพช่องหูให้มีความสะอาดอยู่เสมอจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการป้องกันปัญหาที่จะเกิดกับสัตว์เลี้ยงของท่าน
การทำความสะอาดหู
หูของสัตว์เลี้ยงมักจะเป็นรูปตัว" L" มากกว่าหูของคนและเศษเนื้อเยื่อ หรือขี้หูจึงมักจะถูกเก็บสะสมอยู่บริเวณมุมของตัว "L" การกำจัดขี้หูที่สะสมในช่องหูสามารถทำได้ด้วยการใส่น้ำยาสำหรับทำความสะอาดหู(น้ำยาที่ดี)ลงไปในช่องหู น้ำยาล้างหูที่ดีควรมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ แต่ไม่ควรใช้วิธีการแทง กระแทกควรบีบนวดบริเวณโคนหูประมาณ 20-30 วินาทีเพื่อทำให้เศษเนื้อเยื่ออ่อนนุ่มและหลุ่ดออกมา ทำการเช็ดเอาเศษเนื้อเยื่อที่หลุดออกและใช้ก้านไม้ที่พันด้วยสำลีที่ชุบให้ชุ่มไปด้วยน้ำยาทำความสะอาดช่องหู ให้ทำซ้ำๆ กันจนไม่พบว่ามีเศษเนื้อเยื่อ หรือขี้หูหลงเหลืออยู่ในช่องหูอีก ถ้าสภาพภายในช่องหูมีเนื่อเยื่อ หรือขี้หูมาก อาจจะทำความสะอาดตามวิธีดังกล่าววันละ 2 ครั้ง
อาจจะใช้ก้านไม้พันด้วยสำลี หรือ cotton bud ในการทำความสะอาดช่องหู และด้านในของใบหู แต่ไม่ควรแหย่ให้ลึกเข้าไปในช่องหูมากนัก เพราะจะทำให้ขี้หู หรือเศษเนื้อเยื่ออัดกันแน่นภายในช่องหูมากกว่าเป็นการเขี่ยเอามันออกมา สัตว์บางตัวพบมีว่าปัญหาของช่องหูที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความเจ็บปวด การทำความสะอาด หรือขณะให้การรักษาอาจจะมีความจำเป็นต้องทำให้สลบเสียก่อนแต่ในบางครั้งสัตว์จะไม่ยอมให้ทำความสะอาดหูของมัน เพราะมันไม่ชอบ มันรำคาญ เจ้าของจะต้องพูดคุยกับมัน ให้มันผ่อนคลายในระหว่างที่ทำความสะอาดถ้ามันเชื่อฟังควรต้องชมเชย ให้รางวัล หลังจากทำความสะอาดหูแล้ว ปล่อยให้มันสั่น หรือสะบัดหัวได้และปล่อยให้แห้ง หลังจากนั้นจึงค่อยใส่ยาให้
การป้องกันโรคหู
หัวใจที่สำคัญในการทำให้ช่องหูมีสุขภาพดีคือ ความสะอาด ควรตรวจสอบช่องหูของสัตว์เลี้ยงของท่านทุกสัปดาห์ การพบว่ามีขี้หูเพียงเล็กน้อยถือว่าเป็นสิ่งปกติถ้าสัตว์เลี้ยงชอบเล่นน้ำมาก หรือมีใบหูยาวห้อย หรือมีประวัติโรคของช่องหู แนะนำให้ทำความสะอาดช่องหูเป็นประจำ(2-3 ครั้งต่อสัปดาห์) ด้วยวิธีการดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ถ้ารอบๆ ช่องหูมีขนยาวมาก ให้ตัดให้สั้น เพื่อให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก การรักษาโรคของช่องหูควรรักษา หรือกำจัดสาเหตุของโรค ซึ่งเป็นเหตุโน้มนำทำให้เกิดปัญหาของช่องหูจึงจะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด พึงระลึกไว้เสมอว่าถ้าสัตว์เลี้ยงของท่านรู้สึกไม่สะดวกสะบายกระวนกระวายอย่างมากแสดงให้เห็นช่องหูมีกลิ่นเหม็นมากหรือช่องหูมีความผิดปกติไม่ควรรีรอที่จะนำมันมาพบสัตวแพทย์ถ้าเยื่อแก้วหูของสัตว์เลี้ยงของท่านเกิดความเสียหายการใช้ยาบางชนิดหรือน้ำยาทำความสะอาดช่องหูบางชนิดอาจจะเป็นอันตรายมากกว่าเป็นการรักษาดังนั้นจึงควรปรึกษาสัตวแพทย์
(คัดลอกมาจาก สะบัดทอค กับ ช๊อปสะบัด)