...ยินดีต้อนรับท่านสู่...โครงการของสำนักงานปศุสัตว์อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช...(กิจกรรทความรู้รอบตัว)ภายใต้การบริหารจัดการ..ของ...นายมนัส ชุมทอง...ปศุสัตว์อำเภอพรหมคีรี..

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553

โคพันธุ์กบินทร์บุรี


เป็นโคลูกผสมระหว่างพันธุ์ซิมเมนทัลกับพันธุ์บราห์มัน โดยกรมปศุสัตว์ได้มอบหมายวิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ปราจีนบุรี (ตั้งอยู่ที่อำเภอกบินทร์บุรี)ทำการสร้างโคพันธุ์ใหม่ให้เป็นโคกึ่งเนื้อกึ่งนม โดยลูกโคเพศผู้ใช้เป็นโคขุนได้และแม่โคใช้รีดนมได้ การสร้างพันธุ์ในฝูงปรับปรุงพันธุ์ซิมเมนทัลคุณภาพสูงจากประเทศเยอรมัน ผสมกับแม่โคบราห็มันพันธุ์แท้ ได้ลูกโคผสมชั่วรุ่นที่ 1 ที่มีเลือด 50 % ซิมเมนทัล และ 50 % บราห์มัน แล้วผสมโคชั่วรุ่นที่1 เข้าด้วยกัน คัดเลือกปรับปรุงพันธุ์ให้เป็นโคเนื้อพันธุ์ใหม่เรียกว่า “โคพันธุ์กบินทร์บุรี”
โคพันธุ์กบินทร์บุรีมีสีแดงเข้มคล้ายโคพันธุ์ซิมเมนทัล เป็นโคขนาดกลาง เพศผู้โตเต็มที่น้ำหนักประมาณ 900 ถึง 1,000 กิโลกรัม เพศเมีย 600 ถึง 700 กิโลกรัม โคพันธุ์นี้มีข้อดีคือ ทนทานต่อสภาพอากาศร้อนได้ดีพอสมควร เหมาะที่จะนำมาผสมกับแม่โคพื้นเมือง โคบราห์มันและลูกผสมบราห์มัน เพื่อนำลูกเพศผู้มาเลี้ยงเป็นโคขุน ลูกเพศเมียใช้รีดนมได้มากพอสมควร หากจะเลี้ยงเป็นโครีดนมควรเลี้ยงใกล้กับแหล่งเลี้ยงโคนมที่สามารถรับซื้อน้ำนมดิบได้ จะได้ไม่มีปัญหาในการจำหน่ายนม แต่การเลี้ยงต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่ให้ดี เนื้อมีสีแดงเข้มอาจเป็นข้อติของตลาดเนื้อโคคุณภาพดีเมื่อเปรียบเทียบกับโคลูกผสมชาโรเล่ย์ เช่น โคพันธุ์ตาก และโคกำแพงแสน
ข้อมูลจากการศึกษาของกรมปศุสัตว์ แม่โคพันธุ์กบินทร์บุรีซึ่งเป็นลูกผสมซิมเมนทัล 50% กับบราห์มัน 50 % ชั่วอายุแรกจำนวน 119 ตัว ที่สถานีวิจัยทดสอบพันธุ์สัตว์จันทบุรีระหว่าง พ.ศ. 2541 ถึง 2543 ค่าเฉลี่ยลีสท์สแควร์ (Least Square Means) ที่ปรับอิทธิพลของปัจจัยต่างๆ แล้วน้ำหนักแรกเกิดเท่ากับ 29.92 กิโกรัม น้ำหนักหย่านม (ปรับที่อายุ 200 วัน ) 161.75 กิโลกรัม น้ำหนัก 1 ปี (ปรับที่ 400 วัน) 288.07 กิโลกรัม น้ำหนัก 1 ปีครึ่ง (ปรับที่อายุ 600 วัน) 365.85 กิโลกรัม อัตราการเจริญเติบโตก่อนหย่านม 652.87 กรัม/วัน หลังหย่านมถึงอายุ 400 วัน 494.97 กิโลกรัม/วัน และจาก 400 วันถึง 600 วัน 565.41 กิโลกรัม ให้นมตลอดระยะการให้นมครั้งแรก 743.84 กิโลกรัม เฉลี่ยวันละ 5.17 กิโลกรัม จำนวนวันรีด 119 วัน
ข้อมูลโคกบินทร์บุรีซึ่งเลี้ยงที่สถานีวิจัยทดสอบพันธุ์สัตว์ปราจีนบุรี สถานีฯจันทบุรี และศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์หนองกวาง จ.ราชบุรี ค่าเฉลี่ยลีสท์สแควร์ที่ปรับอิทธิพลของปัจจัยต่างๆ แล้วของน้ำหนักแรกเกิดเท่ากับ 30.57 กิโลกรัม น้ำหนักหย่านม (ปรับที่อายุ 200 วัน) 164.93 กิโลกรัม น้ำหนัก 1 ปี (ปรับที่ 400 วัน) 222.91 กิโลกรัม
จากการทดลองขุนโคกบินทร์บุรี (ลูกผสมซิมเมนทัล 50 % กับบราห์มัน 50 % ) จำนวน 10 ตัว เริ่มขุนที่น้ำหนักเฉลี่ย 278 กิโลกรัม ให้อาหารข้นโปรตีน 18 % อาหารหยาบ 9 % สิ้นสุดการทดลองที่ 1,211 กรัม เปอร์เซ็นซากอุ่น 56.60 เปอร์เซ็นซากเย็น 53.40
โคพันธุ์กบินทร์บุรี
เป็นโคลูกผสมระหว่างพันธุ์ซิมเมนทาลกับพันธุ์บราห์มัน โดยกรมปศุสัตว์ได้มอบหมายให้สถานีวิจัยทดสอบ พันธุ์สัตว์ปราจีนบุรี (ตั้งอยู่ที่ อำเภอกบินทร์บุรี)ทำการสร้างโคพันธุ์ใหม่ให้เป็นโคกึ่งเนื้อกึ่งนม โดยลูกโคเพศผู้ใช้เป็น โคขุนได้และแม่โคใช้รีดนมได้
การสร้างพันธุ์ในฝูงปรับปรุงพันธุ์ดำเนินการโดยนำน้ำเชื้อโคพันธุ์ซิมเมนทาล คุณภาพสูงจากประเทศ เยอรมัน ผสมกับแม่โคบราห์มันพันธุ์แท้ ได้โคลูกผสมชั่วที่ 1 ที่มีเลือด 50% ซิมเมนทาล และ 50% บราห์มัน แล้วผสม โคชั่วที่ 1 เข้าด้วยกัน คัดเลือกปรับปรุงให้เป็นโคเนื้อพันธุ์ใหม่ เรียกว่าโคพันธุ์ กบินทร์บุรี
โคพันธุ์กบินทร์บุรีมีสีแดงเข้มคล้ายโคพันธุ์ซิมเมนทาล เป็นโคขนาดกลาง เพศผู้โตเต็มที่น้ำหนักประมาณ 900 ถึง 1,000 กิโลกรัม เพศเมีย 600 ถึง 700 กิโลกรัม โคพันธุ์นี้มีข้อดีคือ หากเลี้ยงแบบโคเนื้อมีการเติบโตเร็ว ซากมี ขนาดใหญ่ที่สนองความต้องการของตลาดเนื้อโคคุณภาพดีได้ ทนทาน ต่อสภาพอากาศร้อนได้ดีพอสมควร เหมาะที่จะ นำมาผสมกับแม่โคพื้นเมือง โคบราห์มันและลูกผสมบราห์มันเพื่อนำลูกเพศผู้มาเลี้ยงเป็นโคขุน ลูกเพศเมีย ใช้รีดนมได้ มากพอสมควร หากจะเลี้ยงเป็นโครีดนมควรเลี้ยงใกล้กับแหล่งเลี้ยงโคนมที่สามารถรับซื้อน้ำนมดิบได้ จะได้ไม่มีปัญหาในการจำหน่ายนม แต่การเลี้ยงต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่พอสมควร ไม่เหมาะที่จะนำไปปล่อยเลี้ยงในป่าหรือปล่อย ในทุ่ง หากใช้แม่โครีดนม ลูกโคที่เกิดออกมาต้องแยก เลี้ยงแบบลูกโคนม ดังนั้นผู้เลี้ยงต้องมีความรู้ในการเลี้ยงโครีดนม และต้องดูแลเอาใจใส่ให้ดี เนื้อมีสีแดงเข้ม อาจเป็นข้อติของตลาดเนื้อโคคุณภาพดี เมื่อเปรียบเทียบกับโคลูกผสมชาร์ โรเล่ส์ เช่น โคพันธุ์ตากและโคกำแพงแสน
ข้อมูลจากการศึกษาของกรมปศุสัตว์ แม่โคพันธุ์กบินทร์บุรีซึ่งเป็น ลูกผสมซิมเมนทาล 50% กับบราห์มัน 50% ชั่วอายุแรกจำนวน 119 ตัว ที่ สถานีวิจัยทดสอบพันธุ์สัตว์จันทบุรีระหว่าง พ.ศ. 2541 ถึง 2543 ค่าเฉลี่ยลีสท์สแควร์(Least Square Means) ที่ปรับอิทธิพลของปัจจัยต่างๆแล้วของน้ำ หนัก แรกเกิดเท่ากับ 29.92 กิโลกรัม น้ำหนักหย่านม (ปรับที่ ี่อายุ 200 วัน) 161.75 กิโลกรัม น้ำหนัก 1 ปี(ปรับที่ 400 วัน) 288.07 กิโลกรัม น้ำหนัก 1 ปีครึ่ง (ปรับที่อายุ 600 วัน) 365.85 กิโลกรัม อัตราการเจริญเติบโตก่อนหย่านม 652.87 กรัม/วัน อัตราการเจริญเติบโตหลังหย่านมถึง อายุ 400 วัน 494.97 กรัม/วัน อัตราการเจริญเติบโตจาก 400 วันถึง 600 วัน 565.41 กรัม/วัน ให้นมตลอดระยะการให้นมครั้งแรก 743.84 กิโลกรัม เฉลี่ยวันละ 5.17 กิโลกรัม จำนวนวันรีด 119 วัน
ข้อมูลโคกบินทร์บุรีซึ่งเลี้ยงที่สถานีวิจัยทดสอบพันธุ์สัตว์ปราจีนบุรี สถานีฯจันทบุรี และศูนย์วิจัยและบำรุง พันธุ์สัตว์หนองกวาง จ.ราชบุรี ค่าเฉลี่ยลีสท์สแควร์ที่ปรับอิทธิพลของปัจจัยต่างๆ แล้วของ น้ำหนักแรกเกิดเท่ากับ 30.57 กิโลกรัม น้ำหนักหย่านม(ปรับที่อายุ 200 วัน) 164.93 กิโล กรัม น้ำหนัก 1 ปี(ปรับที่ 400 วัน) 222.91 กิโลกรัม จากการทดลองขุนโคกบินทร์บุรี(ลูกผสมซิมเมนทาล 50% กับบราห์มัน 50%) จำนวน 10 ตัว เริ่มขุน ที่น้ำหนักเฉลี่ย 278 กิโลกรัม ให้อาหารข้นโปรตีน 18 % อาหารหยาบโปรตีน 9 % สิ้นสุดการทดลองที่ 450 กิโลกรัม โคมีอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยวันละ 1,211 กรัม เปอร์เซ็นต์ซากอุ่น 56.60 เปอร์เซ็นต์ซากเย็น 53.40 เปอร์เซ็นต์

โคพันธุ์ตาก


พันธุ์ ตาก (Tak)
ถิ่นกำเนิด ไทย
ลักษณะเด่นประจำพันธุ์ เป็นลูกผสมระหว่าง62.5%ชาร์โรเลส์กับ37.5%บราห์มัน
สีน้ำตาลอ่อนคล้ายสีทอง ลำตัวคล้ายชาร์โรเลส์ ทนร้อน เนื้อดี โตเร็ว เหมาะสำหรับใช้ขุน
โคพันธุ์ตาก เป็นโคลูกผสมระหว่างพันธุ์ชาร์โรเล่ส์กับพันธุ์บราห์มัน โดยกรมปศุสัตว์ได้มอบหมายให้ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ตาก ทำการคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์ให้เป็นโคเนื้อพันธุ์ใหม่ที่โตเร็ว เนื้อนุ่ม เพื่อทดแทนการนำเข้าพันธุ์โคและเนื้อโคคุณภาพดีจากต่างประเทศ
การสร้างพันธุ์ในฝูงปรับปรุงพันธุ์
ดำเนินการโดยนำน้ำเชื้อโคพันธุ์ชาร์โรเล่ส์คุณภาพสูงจากประเทศฝรั่งเศส ผสมกับแม่โคบราห์มันพันธุ์แท้
ได้โคลูกผสมชั่วที่ 1 (เรียกว่าโคพันธุ์ตาก 1) ที่มีเลือด 50% ชาร์โรเล่ส์ และ 50% บราห์มัน
แล้วผสมแม่โคเพศเมียชั่วที่ 1 ดังกล่าวด้วยน้ำเชื้อหรือพ่อบราห์มันพันธุ์แท้ได้ลูกโคชั่วที่ 2
(เรียกโคพันธุ์ตาก 2) ซึ่งมีเลือด 25% ชาร์โรเล่ส์ และ 75% บราห์มัน
จากนั้นผสมแม่โคเพศเมียชั่วที่ 2 ด้วยน้ำเชื้อโคพันธุ์ชาร์โรเล่ส์คุณภาพสูง
ได้ลูกโคชั่วที่ 3 (เรียกว่าโคพันธุ์ตาก) ซึ่งมีเลือด 62.5% ชาร์โรเล่ส์ และ 37.5% บราห์มัน
แล้วนำโคชั่วที่ 3 ผสมกัน คัดเลือกปรับปรุงพันธุ์ให้เป็นโคเนื้อพันธุ์ใหม่ เรียกว่าโคพันธุ์ตาก
ข้อดีของโคพันธุ์ตากมีดังนี้
1.มีการเติบโตเร็ว เนื้อนุ่ม เนื้อสันมีไขมันแทรก (marbling) ซากมีขนาดใหญ่ที่สนองความต้องการของตลาดเนื้อโคคุณภาพดี
2.เลี้ยงง่าย หากินเก่ง ไม่เลือกกินหญ้า ทนทานต่อสภาพอากาศร้อนได้ดีพอสมควร
3.เหมาะที่จะนำมาผสมกับแม่โคพื้นเมืองโคบราห์มันและลูกผสมบราห์มันเพื่อนำลูก มาเลี้ยงเป็นโคขุนได้
4.แม่พันธุ์ผสมพันธุ์ได้เร็ว ที่ศูนย์ฯตาก ผสมพันธุ์ที่แม่โคอายุ 14 เดือน น้ำหนัก 280 กก. ขึ้นไป
ข้อเสียของโคพันธุ์นี้มีดังนี้
1.การเลี้ยงต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่พอสมควร ไม่เหมาะที่จะนำไปปล่อยเลี้ยงในป่าโดยไม่ดูแลเอาใจใส่ หากเลี้ยงในสภาพปล่อยป่าหรือปล่อยทุ่ง ควรใช้พันธุ์ตาก 1 หรือโคพันธุ์ตาก 2

โคพันธุ์กำแพงแสน



เป็นโคพันธุ์ใหม่ปรับปรุงพันธุ์โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน โดยใช้พันธุ์ชาร์โรเล่ส์กับบราห์มัน คล้ายกับโคพันธุ์ตาก แต่โคพันธุ์กำแพงแสนเริ่มต้นปรับปรุงพันธุ์จากโคพื้นเมือง

โคพันธุ์กำแพงแสนมีสายเลือด 25% พื้นเมือง 25% บราห์มัน และ 50% ชาร์โรเล่ส์
ส่วนลักษณะและคุณสมบัติต่างๆ คล้ายกับโคพันธุ์ตาก
เมื่อวันที่ 2 - 4 ธันวาคม 2538 รัฐบาลไทย โดยกรมปศุสัตว์และหน่วยงานต่าง ๆ ได้ร่วมกันจัดการประกวดโคเนื้อขึ้นในงาน Worldtech’ 95 การประกวดครั้งนี้เป็นการประกวดในระบบสากล ผู้ที่เป็นกรรมการตัดสินเป็นผู้เชี่ยวชาญจาก สมาคมผู้บำรุงพันธุ์โคบราห์มัน และสมาคมโคพันธุ์ซิมเมนทอลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาแห่งละ 1 ท่าน โคที่นำมาประกวดในงานนี้มีอยู่ 4 สายพันธุ์ ซึ่งเป็นที่นิยมของเกษตรกรไทย คือ
1. พันธุ์บราห์มัน
2. พันธุ์ลูกผสมโคเมืองร้อน (ลูกผสมบราห์มัน หรือลูกผสมฮินดูบราซิล)
3. พันธุ์เดราท์มาสเตอร์
4. พันธุ์กำแพงแสน
โดยได้ทำการประกวดกันเองในแต่ละพันธุ์ จนกระทั่งได้โคที่ดีที่สุด ซึ่งเรียกตำแหน่งนี้ว่า โคยอดเยี่ยม (GRAND CHAMPION) ของพันธุ์นั้น ๆ
เมื่อได้โคยอดเยี่ยมของแต่ละพันธุ์แล้ว(พันธุ์ละ 1 ตัว) ก็นำโคยอดเยี่ยมเหล่านั้นมาประกวดกันอีกครั้งเพื่อหาโคที่เป็นสุดยอดโคเนื้อแห่งปีในงาน WORLDTECH’95 (SUPER GRAND CHAMPION) ผลปรากฏว่า โคพันธุ์กำแพงแสนเพศผู้ เบอร์ K11-36/241 สามารถคว้าตำแหน่งสูงสุดนี้ได้
เนื่องจากโคพันธุ์กำแพงแสน เป็นโคเนื้อพันธุ์แรกที่พัฒนาขึ้นเองในประเทศไทย จนกระทั่งเป็นที่ยอมรับของวงการและสามารถชนะโคพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งสั่งพันธุ์มาจากต่างประเทศในราคาแพงได้จึงเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

ทำความรู้จักกับโคพันธุ์กำแพงแสน
ประวัติความเป็นมา
เมื่อพ.ศ.2506 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดย ศ.ดร.จรัญ จันทลักขณา และอาจารย์ประเสริฐ เจิมพร ได้สั่งน้ำเชื้อแข็งโคเนื้อพันธุ์เฮอร์ฟอร์ดเข้ามาทดลองผสมกับโคไทยและกับโคไทยเลือดผสมเรดซินดิ ที่สถานีฝึกนิสิตทับกวางปรากฎว่า ลูกครึ่งที่ได้จากการทดลองโตเร็วขึ้นและไม่มีปัญหาในการเลี้ยงดู แต่สีสรรค์ของลูกผสมออกจะเลอะเทอะสักหน่อย ต่อมาในปี 2512 เมื่อมีการย้ายโคจากสถานีทับกวางมากำแพงแสน จึงได้ใช้น้ำเชื้อพันธุ์ชาโรเลส์เพิ่มขึ้นอีกพันธุ์หนึ่ง พบว่าโคลูกผสมพื้นเมือง*ชาโรเลส์ เติบโตดีและเลี้ยงง่ายอีกทั้งสีสรรมีความสม่ำเสมอกว่าโคลูกผสมพื้นเมือง*เฮียร์ฟอร์ด จึงได้ทำการผสมยกระดับเลือดชาโรเลส์ขึ้นไปเป็น 75% ปรากฏว่าแทนที่จะดีขึ้นกลับพบว่าโคทีมีเลือดเมืองหนาว 75% เลี้ยงยากมากและมีปัญหาเรื่องสุขภาพ(ในสภาพปล่อยทุ่ง) ต่อมา ได้ทดลองผสมพันธุ์ให้เป็นโค 3 สายเลือดคือนำพันธุ์บราห์มันเข้ามาร่วมกับโคไทย และชาโรเลส์ ทำให้ได้ลูกผสมที่ได้มีสีสม่ำเสมอ เลี้ยงง่าย โตเร็วและให้เนื้อคุณภาพดี ในระยะแรกๆ(2525-2530)ทำการผสมเป็น 2 แนวทางคือทำให้มีเลือดโคไทย 25% บราห์มัน 25% และชาโรเลส์ 50% เรียกว่า กำแพงแสน 1 และทำให้มีเลือดโคไทย 12.5% บราห์มัน 25% และชาโรเลส์ 62.5% เรียกว่า กำแพงแสน 2 แต่ภายหลังพบว่า กำแพงแสน2 เลี้ยงยากกว่าในสภาพปล่อยทุ่ง จึงตัดออกจากแผนผสมพันธุ์ เหลือเฉพาะกำแพงแสน1 และเรียกว่าพันธุ์กำแพงแสน ตั้งแต่ปี 2530เป็นต้นมา หลังจากนั้นได้ก่อตั้งสมาคมเพื่อจดทะเบียนรับรองพันธุ์ประวัติ เมื่อ พ.ศ.2534 นับเป็นโคพันธุ์แรกที่สร้างขึ้นในประเทศไทย

ความหมายของโคเนื้อพันธุ์กำแพงแสน
คือ โคที่มีเลือดพื้นเมือง 25 เปอร์เซ็นต์ บราห์มัน 25 เปอร์เซ็นต์ ชาโรเลส์ 50 เปอร์เซ็นต์ มีสีขาวครีม-เหลืองทั้งตัว มีลักษณะและคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานความเป็นเลิศของโคพันธุ์กำแพงแสนซึ่งสมาคมฯกำหนดขึ้น
สาเหตุที่ใช้ชื่อว่า “กำแพงแสน” เพราะการตั้งชื่อพันธุ์โคโดยทั่วไป นิยมใช้ชื่อถิ่นกำเนิดของโคนั้น ๆ เป็นชื่อพันธุ์ เช่น พันธุ์อเบอร์ดีน-แองกัส เป็นโคที่กำเนิดขึ้นตรงรอยต่อระหว่างเมืองอเบอร์ดีนกับเมืองแองกัส ในประเทศอังกฤษ พันธุ์ซิมเมนทอลเกิดที่หุบเขาซิมเมน ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เป็นต้น ส่วนโคเนื้อพันธุ์แรกที่ปรับปรุงพันธุ์ขึ้นในประเทศไทย กำเนิดขึ้นที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม จึงให้ชื่อว่า “พันธุ์กำแพงแสน”
สาเหตุที่สร้างโคเนื้อพันธุ์กำแพงแสน
การสร้างโคพันธุ์ “กำแพงแสน” เป็นการปรับปรุงพันธุ์โคพื้นเมืองของไทย คุณสมบัติที่ดีเลิศของโคพื้นเมืองที่ไม่มีโคพันธุ์ใดเทียบได้ คือความสมบูรณ์พันธุ์ ได้แก่ เป็นสัดเร็ว ผสมติดง่าย ทั้ง ๆ ที่ได้รับอาหารไม่ค่อยสมบูรณ์นักก็ยังให้ลูกทุกปี แต่เนื่องจากโคพื้นเมืองไม่สามารถนำมาเลี้ยงเป็นโคขุนในระบบธุรกิจได้ ทั้งนี้เพราะมีขนาดตัวเล็ก และโตช้า จึงได้มีการปรับปรุงโคพื้นเมืองโดยการนำโคพันธุ์บราห์มันมาผสมเพื่อให้ได้ลูกมีขนาดใหญ่และโตเร็วขึ้นแต่เป็นที่ทราบกันทั่วโลกว่า โคอินเดีย (บราห์มันและฮินดูบราซิล) มีข้อด้อยเรื่องความสมบูรณ์พันธุ์ การยกระดับเลือดโคบราห์มันให้สูงขึ้นจะมีปัญหาการผสมติดยากมากขึ้น ยิ่งถ้าหากได้รับอาหารไม่สมบูรณ์ โคจะไม่ยอมเป็นสัด นอกจากนี้คุณภาพของเนื้อโคบราห์มันก็ด้อยกว่าโคเมืองหนาว ดังนั้นทางโครงการจึงพยายามรักษาเลือดโคพื้นเมืองไว้ 25 % เพื่อให้คงความดีของความสมบูรณ์พันธุ์ และจำกัดเลือดบราห์มันไว้เพียง 25 % เพื่อให้โครงร่างใหญ่ขึ้นโดยที่เรื่องความสมบูรณ์พันธุ์ยังไม่เกิดปัญหา แล้วนำโคพันธุ์ชาโรเลส์ มาช่วยในเรื่องการให้เนื้อ และการเจริญเติบโต แต่โคพันธุ์ชาโรเลส์เป็นโคเมืองหนาว ซึ่งไม่สามารถทนต่ออากาศร้อนบ้านเราได้ จึงจำกัดเลือดของโคพันธุ์ชาโรเลส์ไว้เพียง 50 %
โดยสรุปคือ การสร้างโคพันธุ์ “กำแพงแสน” ก็เพื่อให้ได้พันธุ์โคที่มีคุณสมบัติเป็นโคเนื้อที่ดีครบถ้วนสำหรับเลี้ยงในสภาพทั่วไปของประเทศไทย โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ (โคพื้นเมือง) เป็นพันธุ์พื้นฐาน
ในการสร้างและพัฒนาโคพันธุ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลกนั้น ในระยะแรก ๆ คุณลักษณะของโคพันธุ์นั้น ๆ อาจจะยังไม่ดีนัก แต่ได้มีการตั้งคุณลักษณะของโคในอุดมคติที่ต้องการไว้ แล้วพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้โคที่มีคุณลักษณะตรงตามที่ตั้งไว้ โคที่สมาคมจะจดทะเบียนรับรองพันธุ์ให้ก็ต้องมีลักษณะตรงกับลักษณะในอุดมคติดังกล่าวนี้ ในการคัดเลือกโคไว้เป็นพ่อแม่พันธุ์และในการประกวดโคก็จะอิงลักษณะและคุณสมบัติที่ตั้งไว้นี้เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน ลักษณะในอุดมคติดังกล่าวนี้เรียกกันตามหลักสากลว่า มาตรฐานความเป็นเลิศ (Standard of Exellence)