...ยินดีต้อนรับท่านสู่...โครงการของสำนักงานปศุสัตว์อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช...(กิจกรรทความรู้รอบตัว)ภายใต้การบริหารจัดการ..ของ...นายมนัส ชุมทอง...ปศุสัตว์อำเภอพรหมคีรี..

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553

โคพันธุ์กำแพงแสน



เป็นโคพันธุ์ใหม่ปรับปรุงพันธุ์โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน โดยใช้พันธุ์ชาร์โรเล่ส์กับบราห์มัน คล้ายกับโคพันธุ์ตาก แต่โคพันธุ์กำแพงแสนเริ่มต้นปรับปรุงพันธุ์จากโคพื้นเมือง

โคพันธุ์กำแพงแสนมีสายเลือด 25% พื้นเมือง 25% บราห์มัน และ 50% ชาร์โรเล่ส์
ส่วนลักษณะและคุณสมบัติต่างๆ คล้ายกับโคพันธุ์ตาก
เมื่อวันที่ 2 - 4 ธันวาคม 2538 รัฐบาลไทย โดยกรมปศุสัตว์และหน่วยงานต่าง ๆ ได้ร่วมกันจัดการประกวดโคเนื้อขึ้นในงาน Worldtech’ 95 การประกวดครั้งนี้เป็นการประกวดในระบบสากล ผู้ที่เป็นกรรมการตัดสินเป็นผู้เชี่ยวชาญจาก สมาคมผู้บำรุงพันธุ์โคบราห์มัน และสมาคมโคพันธุ์ซิมเมนทอลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาแห่งละ 1 ท่าน โคที่นำมาประกวดในงานนี้มีอยู่ 4 สายพันธุ์ ซึ่งเป็นที่นิยมของเกษตรกรไทย คือ
1. พันธุ์บราห์มัน
2. พันธุ์ลูกผสมโคเมืองร้อน (ลูกผสมบราห์มัน หรือลูกผสมฮินดูบราซิล)
3. พันธุ์เดราท์มาสเตอร์
4. พันธุ์กำแพงแสน
โดยได้ทำการประกวดกันเองในแต่ละพันธุ์ จนกระทั่งได้โคที่ดีที่สุด ซึ่งเรียกตำแหน่งนี้ว่า โคยอดเยี่ยม (GRAND CHAMPION) ของพันธุ์นั้น ๆ
เมื่อได้โคยอดเยี่ยมของแต่ละพันธุ์แล้ว(พันธุ์ละ 1 ตัว) ก็นำโคยอดเยี่ยมเหล่านั้นมาประกวดกันอีกครั้งเพื่อหาโคที่เป็นสุดยอดโคเนื้อแห่งปีในงาน WORLDTECH’95 (SUPER GRAND CHAMPION) ผลปรากฏว่า โคพันธุ์กำแพงแสนเพศผู้ เบอร์ K11-36/241 สามารถคว้าตำแหน่งสูงสุดนี้ได้
เนื่องจากโคพันธุ์กำแพงแสน เป็นโคเนื้อพันธุ์แรกที่พัฒนาขึ้นเองในประเทศไทย จนกระทั่งเป็นที่ยอมรับของวงการและสามารถชนะโคพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งสั่งพันธุ์มาจากต่างประเทศในราคาแพงได้จึงเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

ทำความรู้จักกับโคพันธุ์กำแพงแสน
ประวัติความเป็นมา
เมื่อพ.ศ.2506 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดย ศ.ดร.จรัญ จันทลักขณา และอาจารย์ประเสริฐ เจิมพร ได้สั่งน้ำเชื้อแข็งโคเนื้อพันธุ์เฮอร์ฟอร์ดเข้ามาทดลองผสมกับโคไทยและกับโคไทยเลือดผสมเรดซินดิ ที่สถานีฝึกนิสิตทับกวางปรากฎว่า ลูกครึ่งที่ได้จากการทดลองโตเร็วขึ้นและไม่มีปัญหาในการเลี้ยงดู แต่สีสรรค์ของลูกผสมออกจะเลอะเทอะสักหน่อย ต่อมาในปี 2512 เมื่อมีการย้ายโคจากสถานีทับกวางมากำแพงแสน จึงได้ใช้น้ำเชื้อพันธุ์ชาโรเลส์เพิ่มขึ้นอีกพันธุ์หนึ่ง พบว่าโคลูกผสมพื้นเมือง*ชาโรเลส์ เติบโตดีและเลี้ยงง่ายอีกทั้งสีสรรมีความสม่ำเสมอกว่าโคลูกผสมพื้นเมือง*เฮียร์ฟอร์ด จึงได้ทำการผสมยกระดับเลือดชาโรเลส์ขึ้นไปเป็น 75% ปรากฏว่าแทนที่จะดีขึ้นกลับพบว่าโคทีมีเลือดเมืองหนาว 75% เลี้ยงยากมากและมีปัญหาเรื่องสุขภาพ(ในสภาพปล่อยทุ่ง) ต่อมา ได้ทดลองผสมพันธุ์ให้เป็นโค 3 สายเลือดคือนำพันธุ์บราห์มันเข้ามาร่วมกับโคไทย และชาโรเลส์ ทำให้ได้ลูกผสมที่ได้มีสีสม่ำเสมอ เลี้ยงง่าย โตเร็วและให้เนื้อคุณภาพดี ในระยะแรกๆ(2525-2530)ทำการผสมเป็น 2 แนวทางคือทำให้มีเลือดโคไทย 25% บราห์มัน 25% และชาโรเลส์ 50% เรียกว่า กำแพงแสน 1 และทำให้มีเลือดโคไทย 12.5% บราห์มัน 25% และชาโรเลส์ 62.5% เรียกว่า กำแพงแสน 2 แต่ภายหลังพบว่า กำแพงแสน2 เลี้ยงยากกว่าในสภาพปล่อยทุ่ง จึงตัดออกจากแผนผสมพันธุ์ เหลือเฉพาะกำแพงแสน1 และเรียกว่าพันธุ์กำแพงแสน ตั้งแต่ปี 2530เป็นต้นมา หลังจากนั้นได้ก่อตั้งสมาคมเพื่อจดทะเบียนรับรองพันธุ์ประวัติ เมื่อ พ.ศ.2534 นับเป็นโคพันธุ์แรกที่สร้างขึ้นในประเทศไทย

ความหมายของโคเนื้อพันธุ์กำแพงแสน
คือ โคที่มีเลือดพื้นเมือง 25 เปอร์เซ็นต์ บราห์มัน 25 เปอร์เซ็นต์ ชาโรเลส์ 50 เปอร์เซ็นต์ มีสีขาวครีม-เหลืองทั้งตัว มีลักษณะและคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานความเป็นเลิศของโคพันธุ์กำแพงแสนซึ่งสมาคมฯกำหนดขึ้น
สาเหตุที่ใช้ชื่อว่า “กำแพงแสน” เพราะการตั้งชื่อพันธุ์โคโดยทั่วไป นิยมใช้ชื่อถิ่นกำเนิดของโคนั้น ๆ เป็นชื่อพันธุ์ เช่น พันธุ์อเบอร์ดีน-แองกัส เป็นโคที่กำเนิดขึ้นตรงรอยต่อระหว่างเมืองอเบอร์ดีนกับเมืองแองกัส ในประเทศอังกฤษ พันธุ์ซิมเมนทอลเกิดที่หุบเขาซิมเมน ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เป็นต้น ส่วนโคเนื้อพันธุ์แรกที่ปรับปรุงพันธุ์ขึ้นในประเทศไทย กำเนิดขึ้นที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม จึงให้ชื่อว่า “พันธุ์กำแพงแสน”
สาเหตุที่สร้างโคเนื้อพันธุ์กำแพงแสน
การสร้างโคพันธุ์ “กำแพงแสน” เป็นการปรับปรุงพันธุ์โคพื้นเมืองของไทย คุณสมบัติที่ดีเลิศของโคพื้นเมืองที่ไม่มีโคพันธุ์ใดเทียบได้ คือความสมบูรณ์พันธุ์ ได้แก่ เป็นสัดเร็ว ผสมติดง่าย ทั้ง ๆ ที่ได้รับอาหารไม่ค่อยสมบูรณ์นักก็ยังให้ลูกทุกปี แต่เนื่องจากโคพื้นเมืองไม่สามารถนำมาเลี้ยงเป็นโคขุนในระบบธุรกิจได้ ทั้งนี้เพราะมีขนาดตัวเล็ก และโตช้า จึงได้มีการปรับปรุงโคพื้นเมืองโดยการนำโคพันธุ์บราห์มันมาผสมเพื่อให้ได้ลูกมีขนาดใหญ่และโตเร็วขึ้นแต่เป็นที่ทราบกันทั่วโลกว่า โคอินเดีย (บราห์มันและฮินดูบราซิล) มีข้อด้อยเรื่องความสมบูรณ์พันธุ์ การยกระดับเลือดโคบราห์มันให้สูงขึ้นจะมีปัญหาการผสมติดยากมากขึ้น ยิ่งถ้าหากได้รับอาหารไม่สมบูรณ์ โคจะไม่ยอมเป็นสัด นอกจากนี้คุณภาพของเนื้อโคบราห์มันก็ด้อยกว่าโคเมืองหนาว ดังนั้นทางโครงการจึงพยายามรักษาเลือดโคพื้นเมืองไว้ 25 % เพื่อให้คงความดีของความสมบูรณ์พันธุ์ และจำกัดเลือดบราห์มันไว้เพียง 25 % เพื่อให้โครงร่างใหญ่ขึ้นโดยที่เรื่องความสมบูรณ์พันธุ์ยังไม่เกิดปัญหา แล้วนำโคพันธุ์ชาโรเลส์ มาช่วยในเรื่องการให้เนื้อ และการเจริญเติบโต แต่โคพันธุ์ชาโรเลส์เป็นโคเมืองหนาว ซึ่งไม่สามารถทนต่ออากาศร้อนบ้านเราได้ จึงจำกัดเลือดของโคพันธุ์ชาโรเลส์ไว้เพียง 50 %
โดยสรุปคือ การสร้างโคพันธุ์ “กำแพงแสน” ก็เพื่อให้ได้พันธุ์โคที่มีคุณสมบัติเป็นโคเนื้อที่ดีครบถ้วนสำหรับเลี้ยงในสภาพทั่วไปของประเทศไทย โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ (โคพื้นเมือง) เป็นพันธุ์พื้นฐาน
ในการสร้างและพัฒนาโคพันธุ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลกนั้น ในระยะแรก ๆ คุณลักษณะของโคพันธุ์นั้น ๆ อาจจะยังไม่ดีนัก แต่ได้มีการตั้งคุณลักษณะของโคในอุดมคติที่ต้องการไว้ แล้วพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้โคที่มีคุณลักษณะตรงตามที่ตั้งไว้ โคที่สมาคมจะจดทะเบียนรับรองพันธุ์ให้ก็ต้องมีลักษณะตรงกับลักษณะในอุดมคติดังกล่าวนี้ ในการคัดเลือกโคไว้เป็นพ่อแม่พันธุ์และในการประกวดโคก็จะอิงลักษณะและคุณสมบัติที่ตั้งไว้นี้เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน ลักษณะในอุดมคติดังกล่าวนี้เรียกกันตามหลักสากลว่า มาตรฐานความเป็นเลิศ (Standard of Exellence)

1 ความคิดเห็น: